การบำรุงรักษาเพื่อประสิทธิภาพสูงสุด
อายุและการทำงานของแบตเตอรี่
การนำ แบตเตอรี่ มาใช้งานให้เกิดประสิทธิภาพที่สุดนั้นต้องคำนึงถึงอายุการทำงานของแบตเตอรี่ก่อน แบตเตอรี่จะมีอายุการทำงานหรือการใช้งานอยู่ที่ 1200 cycle – 1500 cycle นั่นก็คือการนำมาใช้งาน 1 ครั้งและการกลับไปชาร์ต 1 ครั้ง ถือว่าเป็นการใช้งานไป 1 cycle หรือเฉลี่ยอายุการทำงานของแบตเตอรี่อยู่ที่ประมาณ 3 ปี สำหรับการทำงานตลอดช่วงเวลาการทำงาน แต่ถ้ามีการใช้งานที่ความถี่ที่มากกว่านี้ อายุการทำงานของแบตเตอรี่จะลดลงตามสถานการณ์ทำงาน
ดังนั้นการบำรุงรักษาแบตเตอรี่อย่างถูกวิธี เข้าใจและเข้าถึงการทำงานของแบตเตอร์รี่อย่างแท้จริงนั้น มีความจำเป็นอย่างมากสำหรับการยืดอายุการทำงานของแบตเตอรี่ให้นานที่สุด
องค์ประกอบที่มีผลต่อแบตเตอรี่มีดังต่อไปนี้
1. อุณหภูมิของแบตเตอร์รี่ต้องไม่สูงเกินไป
2. ระดับน้ำกลั่นในเซลล์แบตเตอรี่ ต้องไม่ต่ำหรือสูงเกินไป
3. ความสะอาดระหว่างสะพานไฟและเปลือกเซลล์
4. กระแสไฟในการชาร์จแบตเตอรี่
5. อุปกรณ์อื่นๆ เช่น ปลั๊ก สะพานไฟ และสายไฟ
1. อุณหภูมิของแบตเตอรี่ต้องไม่สูงเกินไป
อุณหภูมิของแบตเตอรี่มีผลทำให้อายุการทำงานของแบตเตอรี่ และประสิทธิภาพ มากหรือน้อยขึ้นอยู่กับกระแสไฟที่ชาร์ตแบตเตอรี่ และการควบคุม โดยในตัวเซลล์แบตเตอรี่จะระบายความร้อนด้วยน้ำกลั่นที่อยู่ในเซลล์แบตเตอรี่ โดยเฉลี่ยอุณหภูมิภายในแบตเตอรี่ มาตราฐานอยู่ที่ 45–50 องศา เนื่องจากแผ่นธาตุภายในเซลล์แบตเตอรี่ประกอบด้วยผงตะกั่วที่อัดแน่นอยู่บนโครงกริด ซึ่งจะมีความหนาแน่นอยู่ค่าหนึ่ง หากอุณหภูมิของแบตเตอรี่สูงกว่ามาตรฐานจะทำให้ผงตะกั่วของแบตเตอรี่หลุดร่วงลงมา จะมีผลทำให้การเก็บประจุของแบตเตอรี่ต่ำลง และแบตเตอรี่จะเสื่อมสภาพเร็วกว่าปกติ ดังนั้นเราจึงต้องมีการควบคุมอุณหภูมิของแบตเตอรี่ให้ได้มาตรฐานโดยทีมงานการบำรุงรักษา
2. ระดับน้ำกลั่นในเซลล์แบตเตอรี่ ต้องไม่ต่ำหรือสูงเกินไป
ระดับน้ำกลั่นในเซลล์แบตเตอรี่จะเป็นตัวแปรสำคัญอย่างหนึ่ง ที่จะทำให้ประสิทธิภาพของแบตเตอรี่น้อยลง หากน้ำกลั่นน้อยหรือต่ำกว่าแผ่นธาตุในเซลล์แบตเตอรี่ จะทำให้การระบายความร้อนลดน้อยลง มีผลต่อเซลล์แบตเตอรี่ ซึ่งความร้อนจะเกิดขึ้นสูง และจะทำให้แผ่นธาตุลัดวงจร เป็นผลทำให้แบตเตอรี่เสื่อมสภาพเร็วขึ้น กรณีเติมน้ำกลั่นมากเกินไป จะทำให้กรดซัลฟลูลิคที่อยู่ภายในเซลล์แบตเตอรี่เกิดการเจือจาง เนื่องจากการกระจายของน้ำกลั่นออกมาทางช่องระบาย หากความเข้มข้นของกรดซัลฟลูลิคน้อยลง จะทำให้ประสิทธิภาพของแบตเตอรี่ต่ำลงตาม ดังนั้นทีมงานที่คอยบำรุงรักษาต้องคอยควบคุมระดับน้ำกลั่น และความเข้มข้นของกรดซัลฟลูลิคเข้มข้นอยู่เสมอ
3. ความสะอาดระหว่างสะพานไฟและเปลือกเซลล์
การปล่อยให้สะพานไฟและเปลือกเซลล์มีความสกปรกอันเนื่องมาจากกรดซัลฟลูลิคที่กระจายออกมาทางช่องระบาย เมื่อกรดซัลฟลูลิคได้มาทำปฏิกิริยากับออกซิเจนจะทำให้เกิดคราบซัลเฟตสีขาวเกาะตามขอบถังและเปลือกเซลล์ หากปล่อยสะสมไว้นานจะจับตัวเป็นซัลเฟตตามสะพานไฟและขอบถัง สถานะของซัลเฟตนั้นเป็นตัวนำกระแสไฟฟ้า ซึ่งหากซัลเฟตนั้นเกาะระหว่างสะพานไฟและขอบถังมากขึ้นจะทำให้กระแสไฟของแบตเตอรี่วงจรลงกราว จะมีผลทำให้ประสิทธิภาพของแบตเตอรี่ด้อยลง การประจุไฟต่ำลง และจะมีผลทำให้ระบบ Control ของรถโฟล์คลิฟไฟฟ้าเกิดการผิดพลาด ท้ายสุดอาจจะทำให้ Controller ของรถโฟล์คลิฟเกิดการเสียหาย ดังนั้นทางบริษัทจะต้องมีพนักงานที่คอยบำรุงรักษาตลอดการทำงานเพื่อความปลอดภัยและป้องกัน
4. กระแสไฟในการชาร์จแบตเตอรี่
เครื่องประจุไฟหรือตู้ชาร์จก็เป็นตัวแปรสำหรับอายุการใช้งานของแบตเตอรี่ด้วย เนื่องจากกระแสไฟที่ตู้ชาร์จจ่ายออกมาในการชาร์จแบตเตอรี่แต่ละครั้ง จะมีผลทำให้แบตเตอรี่ชาร์จเร็วหรือช้าขึ้นอยู่กับค่ากระแสของตู้ชาร์จแต่ละตู้ หากกระแสไฟในการชาร์จแบตเตอรี่มีค่าสูงเกินไป จะทำให้การชาร์จแบตเตอรี่เร็วขึ้น แต่จะทำให้อุณหภูมิในการชาร์จขณะนั้นสูงเกินไป และจะทำให้แบตเตอรี่เสื่อมสภาพเร็วขึ้น ดังนั้นจึงต้องมีการคำนวณทางวิศวกรรมเพื่อให้ตู้ชาร์จและแบตเตอรี่มีความสัมพันธ์กัน ดังนั้นทางบริษัทจึงต้องมีการตรวจเช็คค่ากระแสไฟของตู้ชาร์จแต่ละตู้กับแบตเตอรี่แต่ละลูกให้มีความสัมพันธ์กัน โดยทางบริษัทจะมีทีมวิศวกรที่สามารถปรับเซ็ทค่ากระแสไฟในตู้ชาร์จได้ ในกรณีตู้ชาร์จเก่า และใช้งานนาน เพื่อให้ประสิทธิภาพในการชาร์จและการใช้งานของแบตเตอรี่สูงที่สุด
5. อุปกรณ์อื่นๆ เช่น ปลั๊ก สะพานไฟ และสายไฟ
อุปกรณ์ที่มีส่วนประกอบที่ทำให้กระแสไฟไหลเวียนอย่างถูกต้อง อุปกรณ์ต่างๆ เหล่านี้จะมีผลทำให้การใช้งานมีประสิทธิภาพหรือไม่ขึ้นอยู่กับอุปกรณ์เหล่านี้ ดังนั้นการดูแลด้านรอยต่อต่างๆ เพื่อให้กระแสไฟเดินผ่านได้สะดวกก็มีส่วนสำคัญที่ทำให้ประสิทธิภาพของการทำงานของแบตเตอรี่สูงหรือต่ำได้ การคอยดูแลไม่ให้พลาดหรือหลุดเป็นส่วนหนึ่งของทีมงานการบริการที่คอยดูแลตรวจเช็คอยู่ตลอดเวลา
การจัดทีมงานเพื่อคอยบำรุงรักษาแบตเตอรี่ให้กับลูกค้า ในกรณีที่มีแบตเตอรี่จำนวนมาก พนักงานของบริษัทต้องมีความรู้ด้านต่างๆดังต่อไปนี้
1.การคอยปรับเซ็ทอุณหภูมิภายในแบตเตอรี่
2.การคอยเติมน้ำกลั่นและเปลี่ยนถ่ายแบตเตอรี่
3.การดูแลความสะอาดภายในตัวเซลล์แบตเตอรี่
4.พนักงานจะคอยปรับเซ็ทกระแสไฟและจากตู้ชาร์จที่จ่ายให้แบตเตอรี่ได้ตลอดเวลา
5.จะต้องคอยดูแลรอยต่อต่างๆ เพื่อไม่ให้เกิดรอยหลวม
ดังนั้นทางบริษัท จะทำการจัดทีมงานที่มีความรู้ความสามารถเฉพาะด้านให้ไปประจำอยู่ที่สถานที่ทำงานของลูกค้า เพื่อคอยดูแลในการเปลี่ยนถ่ายแบตเตอรี่ และการดูแลรักษาแบตเตอรี่ อย่างใกล้ชิดเพื่อให้ประสิทธิภาพการทำงานของแบตเตอรี่สูงที่สุด โดยทางบริษัทจะจัดพนักงานจำนวน 1-2 คนประจำอยู่ที่ลูกค้า
ต้องการรับบริการจากบริษัทกรุณาติดต่อ
บริษัท เค.เซก จำกัด tel: 02-3606418-9,02-3606400-1 fax:02-3606402,02-3606420 ทางบริษัทจะมีพนักงานคอยให้บริการ ตลอดเวลาการทำงาน หรือสายด่วน 081-3088887
http://www.forklift-d.com email :ksegforklift@hotmail.com